เทศน์เช้า วันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๔๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เวลาเราไปหาธรรมะใช่ไหม ธรรมะคือความสงบ เราเข้าใจว่าธรรมะคือความสงบ ความสงบของใจมีความสุขมาก เราก็อยากจะมีความสุข เราไม่อยากมีความวุ่นวายเลย เราปฏิเสธความวุ่นวายเพราะเราก็เบื่อความวุ่นวายอยู่แล้วทำไมจะต้องมาเจอความวุ่นวายอีก
มันต้องคิดว่าเหมือนกับเรา เห็นไหม สภาวะแวดล้อมถ้าเราไม่รักษาสภาวะแวดล้อมไปมันก็จะเสียหายไปข้างหน้า นี่ก็เหมือนกันถ้าเราไม่คิด เราไม่ปกป้องของเรา ต่อไปข้างหน้ามันก็จะมีปัญหาไปข้างหน้าเรื่อยๆ แล้วมันเป็นอย่างนี้ กระแสโลกเป็นอย่างนี้
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก ศาสนาต่อไปพระภิกษุจะเอาแค่ผ้าเหลืองห้อยคอไว้เท่านั้น เอาผ้าเหลืองห้อยคอไว้เท่านั้นแล้วจะเสื่อมไป ศาสนาเสื่อม เสื่อมตรงไหน เสื่อมจากความเชื่อ มันไม่ได้เสื่อมเรื่องตำรับตำรานะ ตำรับตำราจะพิมพ์ได้มหาศาลเลย โรงพิมพ์จะมีมาก ต่อไป เห็นไหม ในอินเตอร์เน็ตเดี๋ยวนี้คอมพิวเตอร์เข้าอินเตอร์เน็ต เราจะอยากดูหน้าไหน เราอยากดูข้อไหน เรากดไปนี่เราจะรู้เลย ไม่ต้องไปเปิดหนังสือเลย เห็นไหม สิ่งที่ว่าการตำรับตำรามันจะมีมหาศาลเลย
แต่หัวใจคนนะมันเสื่อม หัวใจคนมันไม่เชื่อ ถ้าหัวใจคนไม่เชื่อ เห็นไหม หลวงตาบอกว่าถ้าพูดถึงมรรคผลนิพพานนี่จะหัวเราะเยาะกัน มันจะเป็นไปได้อย่างไร มันจะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อเราปฏิบัติขนาดนี้ มันเป็นมาขนาดนี้ มันจะเป็นเรื่องอย่างนั้นได้อย่างไร มีแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือมีแต่ครั้งโบราณเท่านั้น
แล้วพระศรีอริยเมตไตรยต่อไปข้างหน้านี้จะมาตรัสรู้อะไรล่ะ พระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้ข้างหน้าก็มาตรัสรู้เรื่องธรรมอันเดียวกัน ธรรมอันเดียวกันไง
ถ้าศาสนานี้มรรคผลนิพพานมีไม่ได้ ความทุกข์ในหัวใจเวลามันทุกข์ขึ้นมาทำไมมันสั่นไหวเราขนาดนี้ล่ะ ทำไมมันทำให้เราถึงกับทำลายตัวเองได้เวลาความทุกข์เกิดขึ้น แล้วเวลามันดับไป ถ้าความทุกข์มันอยู่กับเราโดยสัจจะความจริง เวลาเราประสบความทุกข์หนักๆ ขึ้นมา เราทนไม่ได้หรอก แล้วทำไมมันหายไป ถึงเวลามันผ่อนคลายไปทำไมเราพอทนได้ล่ะ
สิ่งที่พอทนได้ เห็นไหม โดยธรรมชาติของมัน มันเป็นอนิจจังทั้งหมดเลย แต่เพราะมีตัณหาความทะยานอยากมันไปยึด มันไปยึดสิ่งนั้น มันไปยึดมั่นถือมั่นสิ่งนั้นแล้วมันทนไม่ไหว ทุกข์คือความทนไม่ได้ของความรู้ของหัวใจ สิ่งที่ความรู้ของหัวใจทนไม่ได้นะ มันก็บีบบี้สีไฟอย่างนั้น แต่ใจดวงนี้ไม่เคยตาย ทุกข์ขนาดไหนก็ไม่เคยตาย เราขนาดมีความทุกข์แล้วเราฆ่าตัวตาย ใจก็ไม่ตาย เพราะเราฆ่าตัวตายไป เราหมดจากชีวิตนี้ลมหายใจหมดออกไป ธาตุขันธ์มันโดนทำลายไป แต่จิตดวงนี้โดนทำลายได้ไหม จิตดวงนี้ทำลายไม่ได้ จิตดวงนี้ต้องไปเกิดอีก ไปเกิดโดยธรรมชาติของมัน โดยสัจจะของมัน
เวลาเรามาเกิดนี่จิตนี้มาเกิด จิตนี้สำคัญที่สุด เห็นไหม จิตนี้มันเป็นจริตนิสัย ดูซิ เวลาคนสงบเสงี่ยมคนเรียบร้อย เห็นไหม มาจากไหน มาจากความคิดของเขา คนเวลากระโชกโฮกฮากคนที่ว่าเขาหยาบกระด้างมันก็เป็นมาจากใจของเขา ใจของเขานี่มันเป็นจริตเป็นนิสัย แต่ความตัณหาความทะยานอยากยังเป็นเรื่องหนึ่งนะ
คนเรานะสงบเสงี่ยมมากแต่ถ้าหัวใจเวลาจะคิดเอาเปรียบเขา มันทำด้วยความแนบเนียนมากนะ คนเรานี่ถ้ากระโชกโฮกฮากมันก็เป็นสภาวะของกระโชกโฮกฮาก เห็นไหม นี่กิริยาเท่านั้น แต่สิ่งที่เป็นอันตรายคือหัวใจ คือกิเลสในหัวใจ หัวใจมันเป็นธรรมชาติอันนั้น แต่กิเลสในหัวใจนี่มันสะสมอย่างนั้นมา แล้วธรรมวินัยจะมาชำระสิ่งนี้ไง
ธรรมวินัย เห็นไหม ถ้าเราเชื่อเรามีศรัทธานี่เราจะมีความเชื่อ มีความเชื่อนี่แค่เริ่มต้นนะ เริ่มต้นเราจะประพฤติปฏิบัติ เริ่มต้นเราจะดัดแปลงตน เราบอกว่าเรามาทำบุญกุศลกัน เรามาวัดกันเพื่อความสุข ความวุ่นวายนี้ไม่ต้องการ สิ่งใดไม่ต้องการ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก สัตว์ เห็นไหม สัตว์ที่มันบินอยู่ตามธรรมชาติของมัน มันมีความอิสรเสรีภาพมากว่ามนุษย์นะ มนุษย์นี่ว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ เห็นไหม แต่มนุษย์นี้ก็สร้างประเพณี สร้างวัฒนธรรม สร้างกฎหมาย มาเป็นโซ่ตรวนของตัวเอง สิ่งที่เป็นโซ่ตรวนของตัวเอง เห็นไหม เราก็ไปติดในสมมุตินั้น มันก็เป็นสมมุติอันหนึ่ง
แต่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันเป็นสมมุติบัญญัติอันหนึ่งเหมือนกัน สิ่งที่เป็นสมมุติบัญญัตินี้เพื่อให้ใจนี้มันปล่อยวางเข้ามา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมนี่สอนให้ปล่อยวาง เราก็ว่างกันแล้ว เราก็สะดวกสบายอยู่แล้ว เราต้องการความสบาย เราต้องการความว่าง เราต้องการความสุขสบายของเรา เราปล่อยวางเฉยๆ แต่พิษภัยในหัวใจเรามันไม่ได้ชำระไม่ได้แก้ไขเลย มันจะปล่อยวางอย่างนี้มันจะเป็นธรรมะได้อย่างไร
สิ่งที่ธรรมะ เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ไปเรียนกับอาฬารดาบส เข้าสมาบัติ ๘ ได้นี่ปล่อยวางอยู่แล้วด้วย แล้วทำเข้าสมาธิ เข้าสมาบัติ มันมีพลังงานของมันอีกด้วย พลังงานตัวนี้ เห็นไหม จะเข้าสมาบัตินี่มันจะไปได้ มันจะระลึกอดีตชาติได้ ทำอะไรได้ เห็นไหม
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตอนที่ปฏิบัติ บุพเพนิวาสานุสติญาณนั้น ตอนนั้นยังไม่เป็นพระพุทธเจ้านะ ก็ระลึกอดีตชาติได้ แต่เพราะธรรมอันนี้มันระลึกได้ สมาบัติก็นึกได้ สิ่งใดก็นึกได้ แต่เวลาสิ้นกิเลสไปแล้ว เห็นไหม ความนึกอันนั้นมันถึงเป็นความจริง ความระลึกอันนั้นเป็นความจริงเพราะอะไร เพราะมันไม่มีกิเลส มันไม่มีสิ่งต่างๆ เข้าไปบิดเบือนให้มันเป็นไปตามความเห็นของตัว มันจะเป็นสัจจะความจริง เพราะไม่มีกิเลสมันถึงเป็นมัชฌิมาปฏิปทา มันถึงเป็นความจริง มันถึงเป็นกลางอันนั้นไง
แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่มีใจดวงนี้เป็นพระอรหันต์ขึ้นมา แล้ววางธรรมวินัยเอาไว้อย่างนี้ แล้วธรรมวินัยนี่ถ้าเราถือตามธรรมวินัย กฎหมายนี่ไม่สำคัญเลย กฎหมาย ไม่ต้อง เราแค่ถือศีล ๕ กฎหมายจะไม่มีความหมายเลยเพราะอะไร เพราะเราจะไม่เบียดเบียนกัน เราจะไม่ทำความผิดเลย แล้วศีลมันบริสุทธิ์ขึ้นไปขนาดนั้น
แต่นี่ไปปฏิเสธไง ถ้าเราเน่าเฟะ เห็นไหม เรานี่เป็นคนเน่าใน เราเน่าในคือเราทำผิดศีล ของเราอยู่ข้างใน แต่ข้างนอกเราจัดตั้งได้ เราจัดตั้งได้ เราทำรูปแบบได้ นี่คือโลกไง โลกคือความเห็นสิ่งต่างๆ ที่เราเห็นกันอยู่นี้ แต่ความเป็นจริงของธรรมคือในหัวใจอันนั้น ถ้าในหัวใจอันนั้นบริสุทธิ์ นี่ถึงว่าสัตว์ต่างๆ เขาไม่มีกฎหมาย เขาไม่มีระเบียบของเขา เขาบินไปได้ของเขาตามประสานก ปลาเขาก็ไปประสาของเขาได้
แต่เราเอากฎหมาย ถ้ากฎหมายเป็นความดี ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นกฎหมายที่ถูกต้องมาก แล้วกฎหมายที่ถูกต้องอันนี้นะไม่ได้ไปบังคับใครนะ บังคับภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา อุบาสก อุบาสิกาก็ถือศีล ๕ ถือศีล ๘ เห็นไหม ถ้าถือศีล ๕ ถือศีล ๘ นี่มันจะไปทำผิดพลาดได้อย่างไร เห็นไหม
กฎธรรมวินัยนี่บังคับเรา แต่กฎหมายนี่บังคับสัตว์สังคม สัตว์สังคมทำอย่างอื่น ธรรมต้องทำตามกฎหมาย แต่เราเป็นคนร่างกฎหมายขึ้นมานี่ เราร่างไว้เพื่อจะหลบหลีก ถ้าเราร่างไว้เพื่อจะหลบหลีก หลบหลีกเพื่ออะไร หลบหลีกไว้เพื่อมีอำนาจเหนือสัตว์โลก ถ้าใจของคนมันมีความสกปรกในหัวใจของมัน กฎหมายนั้นร่างขึ้นมาเพื่อตัว ร่างขึ้นมาเพื่อตัว เห็นไหม
นี่ว่าถ้าทำตามกฎหมายต้องทำตามวินัย พระภิกษุต้องเชื่อธรรม เชื่อวินัย เชื่อประเพณีวัฒนธรรม ต้องเชื่อกฎหมาย ต้องยอมเชื่อ เชื่อกฎหมายถ้ากฎหมายนั้นเป็นตามความเป็นจริง แต่ถ้ากฎหมายอันนั้นเขียนขึ้นมาเพื่อหมู่คณะของตัวเอง นี่มันก็ปฏิเสธไปสภาวะแบบนั้นถ้าจะปฏิเสธนะ แต่ว่าต้องมีอำนาจวาสนาบารมีถึงจะทำประโยชน์กับสังคมได้ นี้คือการทำประโยชน์กับสังคม
แต่ธรรมวินัยนี่ย้อนมาที่ตัวเอง อตฺตาหิ อตฺตโน นาโถฺ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนนี้มีความทุกข์ในหัวใจนี่เผาลนมาก เราถึงชำระกิเลสของตน เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงย้อนกลับมาให้ดูใจของเรา ถ้าเราปรารถนาความสุขของเรา เราปรารถนาความเห็นของเรา เราต้องกระทำต้องเชื่อในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วตั้งขึ้นมาให้เป็นสัมมาสมาธิให้ได้ ถ้าจิตนี้เป็นความสงบเป็นสัมมาสมาธิขึ้นมาแล้วย้อนขึ้นมาดูกิเลสของเรา ถ้าย้อนขึ้นมาดูกิเลสของเรา กิเลสมันอยู่ที่ไหนล่ะ
กิเลสมันอยู่ที่กายกับใจ อยู่ที่กายนะนี่เพราะกายนี้มีความรู้สึก เวลาคนเรานี่หายใจเข้าและหายใจออกคนนั้นยังมีโอกาสอยู่นะ เวลาเราปฏิบัติไง เรามีโอกาสไหม เราจะทำของเราได้ไหม ในเมื่อเรายังมีลมหายใจเข้าและลมหายใจออกอยู่ ลมหายใจเข้าและลมหายใจออกมันมีพลังงานคือธาตุรู้ในหัวใจนี้ ถ้าหัวใจมีธาตุรู้นี่มันถึงติดในกาย ถ้ากายนี้กายเคลื่อนไหวอยู่ได้เพราะธาตุรู้มันเป็นพลังงานไออุ่นเผาธาตุขันธ์นี่อยู่ไม่ให้เน่าไม่ให้เปื่อย
แต่ถ้าเราตายออกไป เห็นไหม พลังงานตัวนี้คือธาตุรู้ตัวนี้ออกไปจากใจ พลังงานตัวนี้ออกไปจากใจ คนเราตายแล้วต้องเน่าต้องเปื่อย เห็นไหม นี่เพราะมีพลังงานตัวนี้มันถึงเอากายอันนี้เคลื่อนไหวได้ ถ้าเอากายเคลื่อนไหวได้มันก็ยึดกายของเรา เราปรารถนาความสุขปรารถนาว่าอยากมั่งมีศรีสุข เพราะให้มีความสุขทางโลก
สุขขนาดไหนถ้าหัวใจมันเร่าร้อนนะ อยู่ที่ไหนมันก็เร่าร้อน เห็นไหม ถึงต้องทำความสงบของใจเข้ามา แล้วดูว่าความติดข้องของมัน กิเลสอยู่ที่กายกับใจ กายนะ กายอยู่กายเพราะอะไร เพราะมันเป็นธาตุขันธ์ที่ว่ามันเป็นขันธมาร แต่ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำลายขันธมารนี่ออกหมด เห็นไหม กายนี้ไม่ใช่กิเลส กิเลสอยู่ที่ใจ กิเลสไม่ได้อยู่ที่กาย แต่กิเลสอยู่ที่กายเพราะความหลงผิดในกายนั้น กายนั้นก็เป็นกิเลสขึ้นมา แต่ถ้าไม่มีความหลงผิดในกายนั้น กายนั้นสักแต่ว่ากายนั้น เห็นไหม
กายนี้เป็นเหมือนกับผลไม้อันหนึ่ง ผลไม้ผลหนึ่งไง ผลไม้ผลหนึ่งเราเด็ดผลไม้มา เห็นไหม ถ้าเราใช้ผลไม้นั้น เรากินผลไม้นั้น ผลไม้นั้นจะเป็นประโยชน์กับร่างกายนั้น ร่างกายนี้ก็เหมือนกัน ถ้าจิตนั้นพัฒนาในร่างกายนั้น ร่างกายนั้นจะเป็นประโยชน์กับใจดวงนี้ขึ้นมาให้เห็นสภาวะตามความเป็นจริง ตามความเป็นจริงของธรรมนะ เราเข้าใจกันทางวิทยาศาสตร์ คนเราตายแล้ว ๗ วัน ๘ วันนี่มันต้องเน่าไป มันต้องเปื่อยไปธรรมดา มันต้องพุพองของมันไป นี้มันเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ใช่ไหม
แต่ถ้าเป็นธรรม จิตสงบนี้ไม่มีมิติ จิตนี้นิ่งอยู่ไม่มีมิติอยู่ภายใน แล้วมันกำหนดกายขึ้นมาได้ ถ้ากำหนดกายขึ้นมาได้นี่ต้องคนมีบุญวาสนาคือว่ายกขึ้นวิปัสสนาเป็น ถ้าเห็นกายขึ้นมาได้มันจะแปรสภาพให้เห็นเป็นปัจจุบันนั้น แก้กิเลสต้องแก้กันที่ปัจจุบันเพราะปัจจุบันนั้นมันเห็นอาการแบบนั้น พอเห็นอาการแบบนั้นมันจะสลดสังเวชมาก เริ่มต้นมันจะแปลกประหลาดจากความเป็นไปของมัน ทำไมเราเข้าใจผิด เราเข้าใจผิดเพราะอะไร เพราะความยึดมั่นถือมั่นของใจ มันจะปล่อยวางตรงความยึดมั่นถือมั่นของใจ เห็นไหม
นี่กิเลสมันอยู่ที่ใจเห็นสภาวะแบบนั้น เพราะมันเห็นสภาวะตามความเป็นจริงของมัน สภาวธรรมเกิดขึ้นมานี่มันเป็นความมหัศจรรย์มาก แต่มันเกิดขึ้นมาจากไหนล่ะ ก็เกิดขึ้นมาจากธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ไง ถ้าเรารักษาธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ผู้ที่มาบวชเรียนในศาสนานี้ มาจรรโลงศาสนานี้ ถ้าจรรโลงศาสนานี้ก็จรรโลงสิ่งนี้ไว้ไง
แต่ถ้าผู้เข้าไปปฏิบัติ เห็นไหม ผู้ที่เป็นสมมุติสงฆ์ เราบวชมาโดยจตุตถกรรมโดยญัตติขึ้นมาสงฆ์ยกขึ้นมาในหมู่ของสงฆ์ ยกขึ้นมาในหมู่ของสงฆ์นี้เป็นสมมุติ เป็นพระโดยสมบูรณ์ สมบูรณ์โนโลก เห็นไหม โลกพระสมมุติ เห็นไหม แต่ถ้าการพิจารณากายเห็นตามเป็นความจริงแล้วเห็นกายนี้แยกออกไปตามความเป็นจริง เห็นไหม แล้วปล่อยวางตามความเป็นจริง โดยพระอัญญาโกญฑัญญะเห็นตามความเป็นจริง
สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับเป็นธรรมดา
มันเป็นธรรมดาของมัน แต่ไม่มีใครเคยไปเห็นมัน มันเป็นธรรมดาอยู่แต่พระอัญญาโกญฑัญญะเข้าไปเห็นมัน เห็นไหม สิ่งที่เห็นขึ้นนี่พระอัญญาโกญฑัญญะถึงเป็นอริยสงฆ์ขึ้นมา สิ่งที่เป็นอริยสงฆ์ขึ้นมาเพราะใจดวงนั้นเป็นสงฆ์ เห็นไหม ถ้าใจดวงนั้นเป็นสงฆ์ ใจดวงนั้นมันไม่มีสีลัพพตปรามาส เห็นไหม ไม่มีความลูบคลำ มันจะเป็นความผิดไปไหนนี่
ธรรมวินัยทำให้ใจดวงนี้ประเสริฐขึ้นมา ความสุขอันนี้เกิดขึ้นมาเป็นความสุขเกิดขึ้นจากใจ ใจดวงนั้นจะมีความสุขอันนี้มาก ความสุขอันนี้แล้วจะสงวนรักษาสิ่งนี้มาก เห็นไหม เพราะอะไร เพราะเราต้องก้าวเดินต่อไป เวลาเราสร้างบ้านสร้างเรือนสร้างตึกสูงๆ เห็นไหม เขาต้องทำนั่งร้านขึ้นไปเพื่ออะไร เพื่อจะประกอบให้บ้านเรือนหลังนั้นเสร็จขึ้นมา
นี้ก็เหมือนกัน ในเมื่อเราสร้างฐานของเราขึ้นมา เห็นไหม เป็นพระอริยสงฆ์ขึ้นมาในหัวใจ แต่บ้านเรือนยังไม่เสร็จเพราะอะไร เพราะโสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรคมันขึ้นไปเรื่อยๆ นี่นั่งร้านอันนี้มันถึงต้องรักษา ศีลถึงต้องบริสุทธิ์ ต้องรักษาศีลเพราะอะไร เพราะตนเองหลอกตนเองไม่ได้ เรานี่เป็นคนทำความผิดเอง แล้วเราไปนั่งสมาธิ เราเชื่อไหมว่าเราจะนั่งสมาธิได้ ถ้าเราทำความผิดในตัวของเรา เราเห็นๆ อยู่เราทำความผิด เวลานั่งขึ้นไปนี่มันก็จะหลอกตัวเอง
แม้แต่ศีลที่บริสุทธิ์ เวลาเรานั่งอยู่นี่กิเลสนิมิตมันยังหลอกต่างๆ มันยังหลอกให้เราหลงทางได้ แล้วนี้เราทำความผิดขึ้นมาในหัวใจนี้มันจะนั่งได้อย่างไร มันถึงว่าถ้าเข้าถึงอริยสงฆ์แล้วมันถึงไม่มีความผิดในหัวใจนั้น โดยเจตนาความผิดไม่มี แต่โดยความพลั้งเผลอของสติมี ความพลั้งเผลอนั้นคือกรรมของสัตว์ เห็นไหม
สิ่งที่กรรมของสัตว์ พระถึงต้องมีการปลงอาบัติ การปลงอาบัติ กรรมนั้นคือกรรมนั้น แต่การเริ่มต้นใหม่ถ้าไม่มีการปลงอาบัตินี้มันจะเกิดนิวรณธรรม นิวรณ์จะเกิดขึ้นมาในหัวใจ ถ้าเราทำความผิด เราไม่สารภาพ การปลงอาบัติคือการสารภาพว่าข้าพเจ้าทำความผิดมา แล้วข้าพเจ้าจะตั้งสำรวมระวังจะไม่ทำสิ่งนี้อีก คือปฏิญาณตนว่าจะไม่ทำสิ่งนี้อีก แล้วเริ่มต้นจากเดี๋ยวนั้นขึ้นมา การนั่งสมาธิการปฏิบัติมันถึงจะลงตัวได้
ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วมันเป็นอาบัติโดยที่ว่าไม่มีเจตนา มันก็เป็นอาบัติอยู่เพราะอาบัติ เป็นโดยรู้ก็มี เป็นโดยไม่รู้ก็มี ถ้าเรายังไม่รู้มันก็ไม่รู้ แต่รู้ขึ้นมาเราก็ร้อนขึ้นมา เราต้องกำหนดปลงอาบัติขึ้นมา การปลงอาบัติอันนี้เพื่อที่จะแบบว่าสิ่งที่เราผิดพลาดไปนั้น ยกเว้นไป ยกพักไว้ก่อน แล้วสิ่งนี้ที่ว่ากรรมมันมีอยู่เพราะเราทำกรรมนั้นให้หมดไปไม่ได้ กรรมมันมีอยู่ เห็นไหม แต่เราพักมันไว้แล้วเริ่มต้นใหม่ ความเริ่มต้นใหม่คือการประพฤติปฏิบัติใหม่ไง
นี่มรรคมันถึงเจริญขึ้นไปเรื่อยๆ ความเห็นเจริญขึ้นไปเรื่อยๆ ถึงต้องรักษา เห็นไหม รักษาสิ่งนี้ไว้เพื่อเรา เพื่อความต้องการความสงบของใจ ใจต้องการความสุขมาก เวลาเราประพฤติปฏิบัติ เราต้องการความสุข เราไม่ต้องการรับรู้สิ่งใดๆ เลย เวลาเราออกมารับรู้
เวลาเราซื้ออาหาร อาหารที่มีพิษเราก็ไม่อยากได้หรอก อาหารที่มีคุณประโยชน์เราก็อยากได้ สิ่งที่อยากได้ขึ้นมา เหมือนกันถ้าเราหาธรรมวินัย เราเชื่อที่ไหน เราลงที่ไหน มันก็กลืนกินได้ด้วยความปลอดภัยไง แต่ถ้าอาหารนั้นเป็นพิษ เห็นไหม มือของเรา ใจของเรา ใจที่สะอาดแล้วใจไม่เป็นแผล มันจะลงไปยาพิษที่ไหน มันก็เข้าไม่ถึงใจดวงนั้น เห็นไหม นี้ก็เหมือนกันอาหารที่จะเข้าปากก็เหมือนกัน ถ้าอาหารนั่นไม่เป็นพิษ มันก็เข้าปากเราโดยที่ร่างกายนี้ไม่มีเป็นพิษ ถ้าอาหารนั้นเป็นพิษไง
สิ่งนี้ครูบาอาจารย์ถึงสงวนถึงรักษาเพื่อเราๆ นะ เพื่อลูกศิษย์อนุชนรุ่นหลัง ครูบาอาจารย์ผ่านสิ่งนี้ไปแล้วนะ ถ้าท่านไม่ทำสิ่งใดเลย ท่านก็ผ่านของท่านไปสบายๆ แต่ท่านสงวนรักษาไว้เพื่ออนุชนรุ่นหลังไม่ใช่เพื่อตัวท่านเองเลย ทำประโยชน์เพื่อสัตว์โลกๆ
แล้วเราเป็นสัตว์โลกตัวหนึ่ง สัตตะผู้ข้องอยู่ เราต้องการทางออก ถ้าเราต้องฟังข้อมูลหลายๆ ฝ่าย แล้วเราใช้วินิจฉัยของเราว่ามันถูกต้องอย่างไร ไม่ใช่ฟังแต่ข้อมูล ฟังของเขานะ ว่านี่สังคมมันจะสงบร่มเย็น ทำไมจะต้องมาปั่นป่วนสังคมให้ไม่สงบร่มเย็น สงบร่มเย็นแบบที่ว่ามันเป็นโรคเป็นภัย กับสงบร่มเย็นโดยที่มันปลอดภัย มันต่างกันนะ สงบร่มเย็นแต่มันเป็นโรคเป็นภัย แล้วโรคภัยอันนี้มันจะทำให้ร่างกายนั้นเสียไปข้างหน้านั้น
เพราะความสงบร่มเย็นแต่ถ้ามันจะเป็นแผล มันเป็นโรคเป็นภัย เข้าโรงพยาบาลเขาจะฉีดยา เขาจะผ่าตัดมัน มันก็ต้องมีความเจ็บปวดบ้าง แต่ความเจ็บปวดนี้จะต้องทำให้ร่างกายนี้ปกติ ให้มันเป็นความปกติขึ้นมา เห็นไหม มันถึงว่าถ้าจะร่มเย็นเป็นสุข สังคมจะร่มเย็นเป็นสุขก็ให้ร่มเย็นเป็นสุขโดยสัมมาทิฏฐิ ไม่ใช่สังคมร่มเย็นเป็นสุขโดยที่ว่ากลบเกลื่อนกันไว้ๆ ว่าสังคมร่มเย็นเป็นสุข สังคมมันควรจะเป็นอย่างนั้น เราต้องมาเดือนร้อนกันทำไม เราจะเดือนร้อน เราจะทำของเรา ครูบาอาจารย์ทำ เราก็ช่วยเหลือครูบาอาจารย์ทำตามแต่ความสามารถของเรา
นี่มันเป็นการปกป้องศาสนาด้วยหนึ่ง มันเป็นการกระทำ การกระทำสิ่งใดก็แล้วแต่ มันจะเป็นบุญกุศลกับผู้ที่กระทำนั้น ทำชั่วได้ชั่ว ทำดีได้ดีแน่นอน แล้วนี่ด้วยปกป้องธรรมวินัย ปกป้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องได้ดี สิ่งที่ได้ดีคือการกระทำของเรา อันนี้เราสมควรแก่กระทำ เห็นไหม
ความสุขของเราเกิดขึ้นมาจากเราสร้างอำนาจวาสนาบารมี ถ้ามีบารมีขึ้นมาสิ่งต่างๆ จะสมความปรารถนา ถ้าอำนาจวาสนาบารมีไม่มี เห็นไหม แข่งอำนาจวาสนาไม่ได้ แล้วขณะปัจจุบันนี้เราจะทำอำนาจวาสนา จะทำความดี แต่มันก็ทำแล้วมันก็โดนกระทบกระเทือน ต้องกัดฟัน ต้องทน ทนกับสภาวะแบบนั้น ทนเพื่อทำคุณงามความดี ทำความชั่วแอบทำไม่มีใครรู้กับเรา ทำความดีทำต่อหน้าสาธารณะมันมีการต่อต้าน เราก็ต้องสู้ของเราเพื่อปกป้องธรรมวินัยของเรา เพื่อประโยชน์ของเรา เพื่อให้อาหารของเราไม่เป็นพิษ เอวัง